BENZ GLC X253/C253
BENZ GLC X253/C253
GLC รุ่นแรกถูกเปิดตัวออกมาในปี 2015 และทำตลาดในปีต่อไปมีรหัสตัวถัง X253 โดยใช้พื้นฐานเดียวกับ C-Class และมีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลังและ 4 ล้อ ส่วนรุ่นใหม่นี้ถือเป็นการเปลี่ยนโฉมหรือโมเดลเชนจ์ครั้งแรกในรอบ 7 ปี และได้รับการพัฒนาอยู่บนพื้นตัวถัง MRA ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เช่นเดียวกับ C-Class รุ่นปัจจุบันในรหัส W206
เช่นเดียวกับรุ่นที่แล้ว GLC ใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย โดยเน้นไปที่การขับขี่ในเมือง แต่ก็ยังคงสมรรถนะในการลุยวิบากได้ดีในระดับหนึ่ง โดยตัวถังทรง SUV แบบ 5 ประตูได้รับการออกแบบใหม่หมดทั้งคันจากรุ่นที่แล้ว และหันมาเน้นความสวยแบบสปอร์ตที่ถูกผสมผสานด้วยความหรูหราของเส้นสายที่ถูกจดเรียงอย่างลงตัวบนตัวถังในจุดต่างๆ ขณะที่รูปลักษณ์ด้านหน้าเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมไฟหน้าทรงเหลี่ยมที่ถูกออกแบบให้เรียวขึ้นตามแบบฉบับรถยนต์รุ่นปัจจุบันของเมอร์เซเดส-เบนซ์ สิ่งที่เกิดขึ้นจากภาพรวมในการปรับให้ตัวรถดูสปอร์ตขึ้น คือ ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือ Cd ลดจาก 0.31 ในรุ่นเดิมมาอยู่ที่ 0.29
ในแง่ของมิติตัวถังนั้นต้องบอกว่า ถูกขยายออกจากรุ่นเดิมในทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นความยาวที่เพิ่มอีก 60.96 มิลลิเมตรเป็น 4,716 มิลลิเมตร แต่ตัวรถเตี้ยลง 4 มิลลิเมตรเพื่อให้ดูสวยและสปอร์ตขึ้น พร้อมความกว้างขวางของห้องโดยสารที่มากขึ้นอันเป็นผลมาจากระยะฐานล้อที่เพิ่มอีก 15 มิลลิเมตรเป็น 2,888 มิลลิเมตร ถือว่าช่วยทำให้ GLC สามารถรองรับการใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพขึ้นโดยเฉพาะความกว้างขวางของเบาะนั่งหลัง และพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระ โดยมีความจุด้านหลังก่อนการพับเบาะหลังลงอยู่ที่ 620 ลิตร
ห้องโดยสารเน้นการออกแบบที่ตอบสนอง 2 ส่วนคือ การใช้งานที่คล่องตัวด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอตรงกลางสำหรับควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ในตัวรถ ซึ่งมีขนาด 11.9 นิ้ว และอีกหน้าจอเป็นการแสดงผลมาตรวัดต่างๆ สำหรับผู้ขับขี่มีขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมกับออกแบบรูปแบบการแสดงผลหรือ MBUX หรือ Mercedes-Benz User Experience ใหม่เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการปรับรูปแบบตามความต้องการได้ถึง 5 แบบ คือ Classic Sporty Discreet Assistance และ Off-Road
ส่วนเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ติดตั้งครบครัน เช่น เบาะนั่งแบบมีเครื่องทำความร้อน ระบบการรองรับทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay ระบบการชาร์จแบบไร้สาย และระบบสแกนลายนิ้วมือเพื่อบันทึกโปรไฟล์ของผู้ขับขี่
สิ่งที่น่าสนใจคือ ใน GLC จะมีเฉพาะไฮบริดเท่านั้นไม่ว่าจะเป็น Mild Hybrid หรือ Plug-in Hybrid จะไม่มีรุ่นที่ขับด้วยเครื่องยนต์สันดาปแบบเดี่ยวๆ อีกต่อไป ซึ่งเครื่องยนต์ที่นำมาจับคู่ก็จะมีทั้งเบนซินและเทอร์โบดีเซล พร้อมชุดไฮบริดแบบ ISG-Integrated Starter Generator แบบรุ่นที่ 2 ซึ่งมีกำลังอยู่ที่ 17 กิโลวัตต์ และแรงบิด 20.0 กก.-ม.
รุ่นเบนซินจะเป็นการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซี พร้อมระบบไฮบริดแบบ 48 โวลท์ ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้อยู่ในระดับ 258 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.6 กก.-ม. โดยจะมีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและแบบ 4 ล้อ 4MATIC มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.2 วินาที และล็อกความเร็วสูงสุดเอาไว้ที่ 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซลจะมีกำลังสูงสุด 261 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 50.5 กก.-ม.
ขณะที่รุ่น Plug-in Hybrid ยังไม่เปิดเผยว่าจะใช้เครื่องยนต์หลักเป็นเบนซินหรือเทอร์โบดีเซล แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นแบบแรก และมีกำลังสูงสุด 381 แรงม้า และสามารถขับในโหมด EV ทำระยะทางได้ 100 กิโลเมตรและจะมาพร้อมกับระบบช่วงล่างแบบถุงลม โดยทุกรุ่นจะส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
ระบบช่วงล่าง ของ GLC X253/C253 มาพร้อมกับรูปแบบแบบสปอร์ตที่ปรับแต่งมาเพื่อการขับขี่ที่เฉียบคมและควบคุมได้ดีมากขึ้น โดยระบบช่วงล่างมาตรฐานประกอบด้วย
- แมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหน้า
- มัลติลิงค์ ด้านหลัง
- สปริงเหล็ก
- โช้คอัพแปรผัน
โดยรวมแล้ว Mercedes-Benz GLC X253/C253 มอบระบบเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมัน ระบบช่วงล่างที่ปรับแต่งมาเพื่อการขับขี่ที่เฉียบคมและควบคุมได้ดีคันนึงเลยทีเดียวครับ
อะไหล่แต่งรถ Mercedes-Benz GLC X253 ที่ได้รับความนิยมมีดังนี้
1. ชุดกันชน:ชุดกันชนสามารถช่วยปกป้องรถของคุณจากความเสียหายและเพิ่มรูปลักษณ์ที่สปอร์ต
2. สเกิร์ตข้าง:สเกิร์ตข้างสามารถช่วยให้รถของคุณดูมีสไตล์และกว้างขึ้น
3. สปอยเลอร์:สปอยเลอร์สามารถช่วยปรับปรุงแรงกดอากาศของรถของคุณและทำให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น
4. ล้อแม็ก:ล้อแม็กสามารถช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของรถของคุณและประสิทธิภาพการจัดการ
5. ชุดแต่งไฟหน้าและไฟท้าย:ชุดแต่งไฟหน้าและไฟท้ายสามารถช่วยให้รถของคุณดูเป็นเอกลักษณ์และทันสมัยยิ่งขึ้น
6. ชุดช่วงล่างที่ต่ำลง: ชุดช่วงล่างที่ต่ำลงสามารถช่วยให้รถของคุณดูสปอร์ตและปรับปรุงการควบคุม
7. ระบบไอเสียสมรรถนะสูง: ระบบไอเสียสมรรถนะสูงสามารถช่วยเพิ่มกำลังและเสียงของเครื่องยนต์
8. ชุดคิทตัวถัง:ชุดคิทตัวถังสามารถช่วยให้รถของคุณดูมีเอกลักษณ์และดุดันยิ่งขึ้น
มีโช้คอัพหลายประเภทให้เลือกสำหรับ Mercedes-Benz ประเภทที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
โช้คอัพมาตรฐาน: โช้คอัพเหล่านี้เหมือนกับโช้คอัพที่มาพร้อมกับรถจากโรงงาน เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
โช้คอัพสปอร์ต: โช้คอัพเหล่านี้ทำให้การขับขี่กระชับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น
โช้คอัพปรับระดับได้: โช้คอัพเหล่านี้สามารถปรับความแข็งของโช้คอัพได้ เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความหลากหลายในการใช้งาน
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกโช้ค
สไตล์การขับขี่: คุณต้องการโช้คอัพที่นุ่มนวลสำหรับการขับขี่ที่สะดวกสบาย หรือโช้คอัพที่กระชับสำหรับการขับขี่ที่สปอร์ต
งบประมาณ: โช้คอัพมีราคาตั้งแต่ราคาไม่แพงไปจนถึงราคาแพง
สภาพถนน: คุณขับขี่บนถนนเรียบหรือถนนขรุขระ
แบรนด์โช้คอัพแนะนำสำหรับ GLC X253/C253
แบรนด์โช้คอัพ 4 แบรนด์ ต่อไปนี้ ถือเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับ GLC X253/C253
1. Bilstein
- แบรนด์โช้คอัพชั้นนำจากเยอรมนี ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ประสิทธิภาพ และความหลากหลาย
- มีโช้คอัพหลายประเภทให้เลือก เหมาะกับทั้งการใช้งานทั่วไป การขับขี่แบบสปอร์ต และการขับขี่แบบออฟโรด
- โมเดลยอดนิยมสำหรับ GLC X253/C253 ได้แก่ B4, B6, B8
2. KW
- แบรนด์โช้คอัพชั้นนำจากเยอรมนี ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพการจัดการที่เหนือชั้นและความสามารถในการปรับแต่ง
- มีโช้คอัพหลายประเภทให้เลือก เหมาะกับทั้งการขับขี่แบบสปอร์ตและการขับขี่แบบแทร็ก
- โมเดลยอดนิยมสำหรับ GLC X253/C253 ได้แก่ Street Performance, Variant 3, Clubsport
3. Eibach
- แบรนด์โช้คอัพจากสหรัฐอเมริกา ขึ้นชื่อเรื่องความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและราคา
- มีโช้คอัพหลายประเภทให้เลือก เหมาะกับทั้งการใช้งานทั่วไป การขับขี่แบบสปอร์ต และการขับขี่แบบออฟโรด
- โมเดลยอดนิยมสำหรับ GLC X253/C253 ได้แก่ Pro-Kit, Sportline, Street Performance
4. H&R
- แบรนด์โช้คอัพจากสหรัฐอเมริกา ขึ้นชื่อเรื่องการลดระดับรถที่โดดเด่นและรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว
- มีโช้คอัพหลายประเภทให้เลือก เหมาะกับการขับขี่แบบสปอร์ตและการขับขี่แบบแทร็ก
- โมเดลยอดนิยมสำหรับ GLC X253/C253 ได้แก่ OE Sport Springs, Street Performance Springs, Coilovers
ชุดเบรกยอดนิยมสำหรับ Benz GLC X253/C253 พร้อมระยะเวลาที่ควรเปลี่ยน
1. Brembo GT60
- เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด
- มอบพลังหยุดที่เหนือชั้น ควบคุมการเบรกที่แม่นยำ และความทนทานสูง
- มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยจากสนามแข่ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
- มีหลายรุ่นย่อยให้เลือก เหมาะกับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ
2. StopTech ST60
- ตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการ ชุดเบรกประสิทธิภาพสูงที่ราคาไม่แพง
- มอบพลังหยุดที่ดี การควบคุมที่ดี และติดตั้งง่าย
- ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน
- มีหลายรุ่นย่อยให้เลือก เหมาะกับทั้งการใช้งานทั่วไปและบนสนามแข่ง
3. Akebono Performance
- เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการชุดเบรกที่เงียบ นุ่มนวล และควบคุมง่าย
- มอบพลังหยุดที่เพียงพอ ควบคุมการเบรกได้อย่างแม่นยำ และทำงานเงียบเชียบ
- ผลิตจากวัสดุที่ทนทานต่อความร้อน ช่วยลดการสึกหรอ
- เหมาะกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ระยะเวลาที่ควรเปลี่ยนชุดเบรก
ระยะเวลาที่ควรเปลี่ยนชุดเบรก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สไตล์การขับขี่ สภาพถนน และความถี่ในการใช้งาน โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนผ้าเบรกทุก 20,000 - 30,000 กม. และเปลี่ยนจานเบรกทุก 60,000 - 80,000 กม.
อย่างไรก็ตาม สัญญาณเตือนว่าถึงเวลาเปลี่ยนชุดเบรกแล้ว มีดังนี้
- เสียงดังขณะเบรก
- ระยะเบรกที่ยาวขึ้น
- แป้นเบรกสั่นสะเทือน
- ไฟเตือนเบรก ABS menyala
- ผ้าเบรกสึกจนบาง
หากพบสัญญาณเตือนเหล่านี้ ควรนำรถไปตรวจเช็คกับช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อเปลี่ยนชุดเบรกโดยเร็วที่สุด
แม็กที่แนะนำสำหรับ Benz GLC X253/C253
แม็ก 5 รุ่น ต่อไปนี้ ถือเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงสำหรับ Benz GLC X253/C253
1. AMG 20-inch 5-Spoke Alloy Wheels
- แม็ก OEM จาก Mercedes-Benz ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ GLC X253/C253
- มอบรูปลักษณ์ที่หรูหราและสปอร์ต
- ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน
- มีหลายสีให้เลือก
2. Brabus Monoblock Z Platinum
- แม็กจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Brabus
- มอบรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและสปอร์ต
- ผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่
- มีหลายขนาดและสีให้เลือก
3. Lorinser RS9
- แม็กจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Lorinser
- มอบรูปลักษณ์ที่หรูหราและสปอร์ต
- ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน
- มีหลายขนาดและสีให้เลือก
4. Vossen CV3
- แม็กจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Vossen
- มอบรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและสปอร์ต
- ผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่
- มีหลายขนาดและสีให้เลือก
5. HRE FF10
- แม็กจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง HRE
- มอบรูปลักษณ์ที่หรูหราและสปอร์ต
- ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน
- มีหลายขนาดและสีให้เลือก
3 แบรนด์ยางยอดฮิตที่นิยมใช้สำหรับ Benz GLC X253/C253
1. Michelin Pilot Sport 4S:ยางเหล่านี้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการยางประสิทธิภาพสูง พวกเขาให้การยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมทั้งบนถนนเปียกและแห้ง และยังทนทาน
2. Continental ExtremeContact Sport V2: ยางเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการยางประสิทธิภาพสูงที่มีราคาไม่แพง พวกเขาให้การยึดเกาะที่ดีทั้งบนถนนเปียกและแห้ง และยังทนทาน
3. Pirelli P Zero:ยางเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการยางที่มีประสิทธิภาพสูงและรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว พวกเขาให้การยึดเกาะที่ดีทั้งบนถนนเปียกและแห้ง และยังดูดีบนรถอีกด้วย
ท่อแต่งแนะนำสำหรับ Benz GLC X253/C253 พร้อมการดูแล
1. Remus Downpipe
- เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์และเสียงท่อที่ไพเราะ
- ช่วยเพิ่มแรงม้า แรงบิด และการไหลเวียนของอากาศ
- ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน
- มีหลายรุ่นย่อยให้เลือก เหมาะกับทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล
2. Armytrix Catback Exhaust System
- ตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการท่อแต่งที่มีสไตล์และเสียงท่อที่ดุดัน
- มอบเสียงท่อที่ทรงพลัง เร้าใจ ปรับแต่งได้
- ผลิตจากวัสดุสแตนเลสคุณภาพสูง ทนทานต่อความร้อน
- มีหลายรุ่นย่อยให้เลือก เหมาะกับทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล
3. AWE Tuning Track Edition Exhaust System
- เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการท่อแต่งที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุด
- ช่วยเพิ่มแรงม้า แรงบิด และการไหลเวียนของอากาศอย่างมาก
- ผลิตจากวัสดุไทเทเนียมน้ำหนักเบา ทนทานต่อความร้อนสูง
- ออกแบบมาสำหรับการใช้งานบนสนามแข่ง แต่สามารถใช้งานบนถนนได้
4. Brabus Sports Exhaust System
- ตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการท่อแต่งจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง
- มอบเสียงท่อที่สปอร์ต ดุดัน และหรูหรา
- ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน
- ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ Benz GLC X253/C253
การดูแลรักษาท่อแต่ง
- ท่อแต่งทุกประเภทต้องการการดูแลรักษาเป็นประจำเพื่อรักษาประสิทธิภาพและรูปลักษณ์
- ทำความสะอาดท่อแต่งอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรง เช่น น้ำยาล้างคราบหรือน้ำยาขัดเงา
- ตรวจสอบท่อแต่งเป็นประจำเพื่อหาสัญญาณการสึกหรอหรือความเสียหาย
- เปลี่ยนท่อแต่งเมื่อจำเป็น